ประมาณ 30 ปีก่อนหน้านี้ เทคนิคการปลูกผมแบบ FUT (Follicular Unit Transplantation) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันความนิยมก็เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากเป็นการรักษาที่ต้องทำการกรีดหนังศีรษะทำให้เกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ และต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน
ในปัจจุบันเทคนิค FUE (Follicular Unit Excision) กลายเป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการปลูกผมมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องมีการกรีดหนังศีรษะทำให้ระยะเวลาพักฟื้นสั้นลง กลับไปทำงานได้ไวขึ้น เเละได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่มีความเห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้จากเทคนิคนี้ทำกันมานาน (หรือ classic FUE) ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร
เทคนิค DHI คืออะไร
จากที่กล่าวไปข้างต้นทำให้เกิดการพัฒนาเทคนิคการปลูกผมไปอีกขั้นหนึ่ง เรียกว่า “DHI” หรือ Direct Hair Implantation เป็นการปลูกผมโดยการใช้ Implanter ทำให้สามารถควบคุมทิศทางของกราฟต์ผมได้ดี และเพิ่มขั้นตอนของการตกเเต่งกราฟต์ผมเข้ามาทำให้กราฟต์ผมมีขนาดเล็กลง แนวไรผมที่ได้จากการปลูกผมด้วยเทคนิคนี้จึงมีความเป็นธรรมชาติและสวยงามมากขึ้น
ขั้นตอนของการปลูกผมด้วยเทคนิค DHI
ขั้นตอนที่ 1 แพทย์ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และให้คำวินิจฉัยถึงปัญหาว่าพร้อมสำหรับการปลูกผมหรือไม่ จากนั้นก็ทำการออกแบบพื้นที่ที่จะทำการปลูกผม
ขั้นตอนที่ 2 ทีมแพทย์จะทำการโกนผมบริเวณด้านหลัง (Donor Area) ออก เนื่องจากเป็นบริเวณที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) เพื่อการประเมินกราฟต์ผม และความสะดวกในการเจาะย้ายกราฟต์ผม
ขั้นตอนที่ 3 ทีมแพทย์ทำการใช้เครื่องเจาะที่มีขนาดเล็กเพียง 0.6-0.8 mm เจาะนำกราฟต์ผมบริเวณด้านหลังออกมาโดยระวังไม่ให้กราฟต์ และเซลล์รากผมบริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายภายหลังการฉีดยาชา
ขั้นตอนที่ 4 ทีมแพทย์จะทำการตกเเต่งกราฟต์ผมเพื่อนำเนื้อเยื่อส่วนเกินออก จากนั้นนำไปเเช่ไว้ในน้ำยาสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพกราฟต์ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอด และอัตราการเจริญเติบโตของกราฟต์ผม
ขั้นตอนที่ 5 ในขั้นตอนการปลูกทีมแพทย์จะนำกราฟต์ผมที่ตกเเต่งเรียบร้อยแล้วใส่ไปใน Implanter ก่อนที่จะนำอุปกรณ์นี้ไปปัก และปลูกในบริเวณที่ได้กำหนดไว้
ทำไม DHI ถึงเป็นที่นิยมมากกว่า
- ได้กราฟต์ผมที่มีคุณภาพสูงขึ้น
- หัวเจาะมีขนาดเล็ก แผลหายไว
- แนวไรผมขึ้นในทิศทางที่ถูกต้อง
- ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม มีความเป็นธรรมชาติ