เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ เพราะสำหรับภูมิภาคเอเชียแล้ว มีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยเลย ในประเทศไทยก็เช่นกัน สำหรับผู้ที่ได้รับการรักษาแล้ว ก็สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ เพียงแค่รักษาค่าเลือดต่างๆให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
แต่สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทนะครับว่าติดชนิดใด ดังนั้นก่อนอื่นเราต้องไปทำความรู้จักไวรัสตับอักเสบชนิดต่าง ๆ กันก่อนนะครับ
ไวรัสตับอักเสบ
ตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบที่ทำให้มีการทำลายเนื้อเยื่อของตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ นำไปสู่การเจ็บป่วยไม่สบาย
โรคตับอักเสบ เป็นโรคที่รู้จักกันมานาน ยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ขณะที่ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา คือ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับอักเสบ คือ การติดเชื้อไวรัส รองลงมาเกิดจากสุรา ยาบางชนิด ฯลฯ โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบแบ่งออกได้เป็น
ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ – เกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ตับอักเสบจากไวรัสเอ เมื่อเป็นแล้วจะหายเป็นปกติได้เอง ไม่เป็นพาหะของโรค ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นได้หลังจากฟื้นตัว อัตราการตายต่ำมาก
ไวรัสตับอักเสบชนิด บี – พบเชื้อได้ในเลือด น้ำเหลือง สารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อได้หลายทางไม่ว่าจากการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัสในรูปแบบต่าง ๆ และการส่งต่อเชื้อไวรัสจากแม่สู่ลูกในครรภ์ ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสนี้จะหายเป็นปกติ ที่เหลือเป็นพาหะของเชื้อต่อไป
ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้ มักไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ ส่วนหนึ่งอาจป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไป ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดบีที่เป็นวัคซีนพื้นฐานที่มีการฉีดตั้งแต่แรกเกิด
ไวรัสตับอักเสบชนิด ซี – เป็นสาเหตุที่สำคัญของตับอักเสบที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับเลือดหรือ เดิมเรียกว่า ไวรัสตับอักเสบชนิด ไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี ติดต่อได้โดยทางเลือดและน้ำเหลือง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด นอกจากนี้ อาจติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เชื้อไวรัสนี้ยังทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี และยังคงเป็นปัญหาต่อไปเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้
ไวรัสตับอักเสบชนิด ดี – เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี พบเชื้อนี้ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นที่มีเชื้อไวรัสชนิดบี การติดต่อก็เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ไวรัสตับอักเสบชนิด อี – มีรายงานการระบาดของไวรัสนี้ในบางประเทศ เช่น อินเดีย กัมพูชา เชื้อไวรัสนี้แพร่โดยการกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิดเอ
อาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน
มีอาการแบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้
1. ระยะอาการนำ มีอาการอ่อนเพลีย มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามลำตัว ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เบื่ออาหารมาก คลื่นไส้ อาเจียน อาจปวดท้องบริเวณชายโครงขวามีท้องเสียได้ ปัสสาวะสีเหลือง เข็มผิดปกติ ฯลฯ อาการนำเป็นอยู่ 4-5 วัน จนถึง 1-2 สัปดาห์
2. ระยะอาการเหลือง หรือ “ดีซ่าน” ผู้ป่วยมีตาเหลือง ตัวเหลือง อาการทั่วไปดีขึ้น ไข้ลดลง แต่ยังอ่อนเพลียอยู่โดยทั่วไประยะเวลาของการป่วย นาน 2-4 สัปดาห์ จนถึง 8-12 สัปดาห์
3. ระยะฟื้นตัว อาจใช้เวลา 2-24 สัปดาห์ (เฉลี่ย 8 สัปดาห์)
การรักษาโรคตับอักเสบจากไวรัส
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรงสำหรับการติดเชื้อเฉียบพลัน เป็นการรักษาตามอาการได้แก่ การพักผ่อนเต็มที่ ในระยะต้นจะทำให้อ่อนเพลียลดลง งดการออกกำลังกายการทำงาน งดการดื่มสุรา รับแประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย น้ำหวาน น้ำผลไม้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงในระยะที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก ในรายที่อาการมากอาจให้สารน้ำเข้าเส้นเลือดดำ ให้ยาแก้คลี่นไส้ ยาวิตามิน ฯลฯ ในส่วนของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังนั้น มีการใช้ยาเพื่อชะลอการเกิดภาวะตับแข็ง หรือลดโอกาสการเกิดมะเร็งตับ
ในส่วนของการปลูกผม
ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ แทบจะไม่มีอะไรต่างจากคนปกติทั่วไป ซึ่งสามารถหายได้เอง หลังจากที่หายก็สามารถเข้ามารับการรักษาได้ครับ แต่สำหรับไวรัสตับอีกเสบประเภทอื่น ๆ ที่สำคัญในบ้านเรา คือ ชนิดบีและซี จะสามารถปลูกได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโรคร่วมอื่น ๆ และยาที่ทานอยู่ในขณะนั้น โดยหากยาที่ใช้เป็นยาต้านไวรัสทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดก็สามารถปลูกได้ โดยควรจะปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนว่ามีข้อจำกัดด้านใดบ้างหรือไม่
ปลูกผมที่ BEQ โดย นายแพทย์ดนัย ธรรมภิบาล
ปัจจุบันคลินิกของเรา มีโปรแกรมพิเศษที่เดิมทีออกแบบมาสำหรับการปลูกผมในผู้ป่วย HIV หรือที่เรียกว่าเทคนิค DHIV แต่เนื่องจากมีผู้เข้ามาสอบถามว่า หากไม่ได้เป็นโรค HIV แต่เป็นโรคอื่น ๆ จะใช้เทคนิคนี้ได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือได้นะครับ เพราะเทคนิค DHIV จริง ๆ แล้วจุดเด่นก็คือการลดการติดเชื้อ 3 ต่อนั่นเอง
- แผลขนาดเล็กลง
เราเลือกใช้ หัวเจาะพิเศษขนาดเล็กที่สุด ที่เล็กกว่าหัวเจาะ DHI ทั่วไป 30% และเล็กกว่าหัวเจาะ FUE ถึง 1 เท่าตัว นอกจากนี้หัวเจาะยังต้องมีความคม และความบางเป็นพิเศษ เพื่อที่จะทำให้แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นน้อย ที่สำคัญยังปรับขนาดให้พอดีสำหรับกราฟต์ผมของท่าน ที่ BEQ Clinic เรามีหัวเจาะเฉพาะสำหรับกราฟต์ผมแบบ 1 เส้นจนไปถึงกราฟต์ผมแบบ 5 เส้น ทำให้แผลที่เกิดนั้นเล็กที่สุดที่จะสามารถทำได้ ทำให้เลือดออกน้อยมาก ๆ ลดการติดเชื้อต่อที่ 1
- ระยะเวลาสั้นลง
เครื่องมือปลูกผมที่สามารถควบคุมและสามารถบังคับทิศทางองศา ตำแหน่งในการปักของแนวผมของแต่ละคนได้อย่างละเอียด รวดเร็ว และแม่นยำ แผลที่เกิดจากการปักจะมีขนาดแผลเล็ก และใช้เวลาในการปลูกที่สั้นลงเหลือเพียง 4-6 ชั่วโมง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้เข้ารับการรักษา เป็นการการลดโอกาสการติดเชื้อต่อที่ 2
- ลดระยะพักฟื้นสั้น
Recovery Solution เป็นน้ำยาแบบพิเศษ เพิ่มความไวในการสมานตัวของแผล กระตุ้นเซลล์ให้รักษาตัวเอง ทำให้แผลหายไวกว่าปกติ 1 เท่าตัว จึงเป็นอะไรที่เหมาะกับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังจากปลูกผมแล้วเป็นอย่างมากครับ พอแผลหายไวก็เป็นการลดโอกาสการติดเชื้อต่อที่ 3