FUE คืออะไร? สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน หรือแนวผมไม่สวย การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เห็นผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ และมีผลข้างเคียงที่เล็กน้อยเท่านั้นได้รับความนิยมในปัจจุบัน และในวันนี้ BEQ Hair Center จะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิค FUE อย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
FUE (Follicular Unit Extraction) คืออะไร?
FUE หรือ Follicular Unit Extraction เป็นเทคนิคการปลูกผมสมัยใหม่นับจาก FUT โดยใช้วิธีการเก็บเซลล์รากผมจากบริเวณด้านหลังศีรษะ (Donor Area) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรากผมแข็งแรงและทนต่อฮอร์โมน DHT ที่เป็นสาเหตุของผมร่วง แล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ผมบาง หรือศีรษะล้าน วิธี FUE จะใช้เครื่องมือพิเศษขนาดเล็กในการเจาะแยกหน่วยรากผมทีละหน่วยโดยตรง ทำให้ไม่เกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ หรือรอยแผลเป็นเส้นตรงยาวเหมือนกับเทคนิคการปลูกผมแบบเก่า
ความแตกต่างระหว่าง FUE และ FUT
วิธีการเก็บรากผม:
- FUE: ใช้การเจาะเก็บรากผมเป็นหน่วยเล็กๆ ทีละจุด ไม่มีการตัดเนื้อเยื่อออกเป็นแถบยาว
- FUT: ตัดเนื้อเยื่อหนังศีรษะออกเป็นแถบยาว (Strip) แล้วแยกหน่วยรากผมในภายหลัง
รอยแผลเป็น:
- FUE: เกิดรอยแผลเป็นขนาดเล็กจำนวนมากแต่มองเห็นได้ยาก แทบไม่เห็นด้วยตาเปล่า
- FUT: เกิดรอยแผลเป็นเส้นตรงยาวที่ด้านหลังศีรษะ ซึ่งอาจมองเห็นได้หากไว้ผมสั้น
ระยะเวลาพักฟื้น:
- FUE: ฟื้นตัวเร็วกว่า มีอาการเจ็บปวดน้อยกว่า
- FUT: ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า และอาจมีอาการเจ็บปวดมากกว่า
การจำกัดทรงผม:
- FUE: สามารถไว้ผมสั้นได้โดยไม่เห็นรอยแผล
- FUT: ควรไว้ผมยาวพอสมควรเพื่อปกปิดรอยแผลเป็น
ข้อดีของการปลูกผมด้วยเทคนิค FUE
- ไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ – เทคนิค FUE ทำให้เกิดรอยแผลขนาดเล็กมากที่หายได้เร็วและแทบมองไม่เห็น
- เจ็บน้อยและฟื้นตัวเร็ว – ผู้รับการปลูกผมสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วกว่าการปลูกผมแบบ FUT
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ – สามารถจัดวางทิศทางของเส้นผมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการปลูกผมบริเวณเล็กๆ – สามารถเลือกปลูกเฉพาะจุดที่ต้องการได้
- ไม่จำกัดทรงผม – หลังจากปลูกผมแบบ FUE สามารถไว้ผมสั้นได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็น
ข้อจำกัดของ FUE
- ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน – การเก็บรากผมทีละหน่วยใช้เวลามากกว่าการตัดแบบแถบในเทคนิค FUT
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่า – เนื่องจากใช้เวลาและความละเอียดมากกว่า ทำให้ค่าใช้จ่ายในการปลูกผมแบบ FUE สูงกว่าแบบ FUT
- จำนวนกราฟต์อาจน้อยกว่า – ในบางกรณี การเก็บรากผมแบบ FUE อาจได้จำนวนกราฟต์น้อยกว่าแบบ FUT
- ต้องโกนผมบริเวณเก็บรากผม – ในการทำ FUE จำเป็นต้องโกนผมบริเวณท้ายทอยเพื่อให้สามารถเก็บรากผมได้สะดวก
- ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์ – เทคนิค FUE ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์อย่างมาก ผลลัพธ์จึงอาจแตกต่างกันได้
ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค FUE
ขั้นตอนที่ 1 : การเตรียมความพร้อมสำหรับการปลูกผม
แพทย์ทำการออกแบบแนวผมที่จะทำการปลูกใหม่และมีการกำหนดพื้นที่บริเวณที่จะปลูกผมและทำการคำนวณกราฟต์ ให้เหมาะสมกับลักษณะโครงหน้าของคนไข้ ต่อมาผมบริเวณหนังศีรษะบริเวณด้านหลังจะถูกโกนให้สั้น เพื่อให้ง่ายต่อการย้ายเซลล์รากผมที่แข็งแรงจากทางด้านหลังมาปลูกบริเวณที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 2 : การเจาะเพื่อดึงเซลล์รากผม
แพทย์จะทำการฉีดยาชาบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เมื่อยาชาออกฤทธิ์ คนไข้จะไม่มีความรู้สึกบริเวณนั้น ผมบริเวณที่ถูกคัดเลือกจะถูกฆ่าเชื้อ ทำความสะอาด แพทย์จะใช้เครื่องมือหัวเจาะขนาด 1 mm. ขึ้นไป เพื่อเจาะดึงกราฟต์ผมออกลึกถึงเซลล์รากผมด้านหลังบริเวณท้ายทอย

ขั้นตอนที่ 3 : การเจาะรูเพื่อปลูกผมใหม่
ในขั้นตอนการฝังกราฟต์ ในบริเวณที่ต้องการทำการปลูกผมนั้น แพทย์จะใช้ Forceps ปลายแหลม 2 ตัว โดยมือหนึ่งเปิดรู แล้วใช้อีกมือใส่กราฟต์เข้าไป ทำแบบนี้พร้อมกันเพื่อลดการบอบช้ำของเซลล์รากผม แพทย์ใช้เข็มเจาะแล้วปลูกผมใหม่ลงไป เพื่อเพิ่มความหนาแน่นแต่ละบริเวณที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 4 : การฝังกอผม (กราฟต์)
การดำเนินการขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณเซลล์รากผมที่ต้องการ หลังจากปลูกผมเสร็จสิ้น แพทย์จะพันศีรษะให้เรียบร้อย อาจเกิดการบวมบริเวณหน้าผากหลังการ ปลูกผม หรืออาจเกิดตุ่มหนองเล็ก ๆ คล้ายหัวสิวได้บ้างบริเวณรูขุมขนที่ปลูก ซึ่งอาจให้ยาปฎิชีวนะเพื่อการรักษา หรืออาจมีอาการชาบริเวณหนังศีรษะหลังการปลูก ซึ่งอาการดังกล่าวก็มักจะหายไปได้เอง (ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับทุกคน)
ขั้นตอนที่ 5 : กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
หลังการปลูกให้ปฏิบัติตัวตาม คำแนะนำ สามารถนอนหงายได้ปกติ แต่ควรจะคาดผ้า เพื่อป้องกันอาการหน้าบวม ระยะแรกหลังการผ่าตัด เส้นผมจะร่วงไปก่อนโดยรากผมจะเข้าสู่ระยะพักประมาณ 3-4 เดือน จึงเริ่มงอกขึ้นมาใหม่ อัตราการยาวของเส้นผมจะเท่ากับเส้นผมปกติตามธรรมชาติ

ปลูกผม FUE เหมาะกับใครบ้าง?
- ผู้ที่มีอาการผมร่วงในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง : เทคนิค FUE ให้ผลลัพธ์ที่ดีในผู้ที่มีอาการผมร่วงไม่มากเกินไป
- ผู้ที่ต้องการไว้ผมสั้น : เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทรงผมสั้นเนื่องจากไม่มีรอยแผลเป็นเส้นยาว
- ผู้ที่มีผมร่วงเฉพาะจุด : เช่น คนที่มีผมร่วงบริเวณขมับหรือหน้าผาก แต่ยังไม่ล้านทั้งศีรษะ
- ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ FUT : เช่น คนที่มีความหนาแน่นของรากผมบริเวณด้านหลังน้อย
- ผู้ที่ต้องการแก้ไขรอยแผลเป็นจากการปลูกผมแบบเก่า : FUE สามารถใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขผลลัพธ์จากการปลูกผมครั้งก่อนได้
- ผู้ที่มีเวลาพักฟื้นน้อย : เนื่องจากการฟื้นตัวเร็วกว่าเทคนิคอื่น
สรุป
การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วง และมีข้อดีในแง่ของความเจ็บปวดที่น้อย การฟื้นตัวที่รวดเร็ว และไม่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปลูกผมควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับสภาพเส้นผมและศีรษะของแต่ละบุคคล