นอกจากเทคนิค FUE แล้ว อีกหนึ่งเทคนิคในการปลูกผมที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง นั่นก็คือ FUT ที่แม้จะได้ยินกันมาว่า เป็นการผ่าตัดที่ออกจะดูน่ากลัวไปนิดสำหรับคนที่อยากปลูกผม แต่วันนี้เรามาดูกันว่า FUT คืออะไร และเหมาะกับใครกันบ้าง
FUT (Follicular Unit Transplantation) คืออะไร?
FUT หรือ Follicular Unit Transplantation เป็นเทคนิคการปลูกผมแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมานาน วิธีนี้เป็นการตัดเนื้อเยื่อหนังศีรษะแบบแถบ (strip) บริเวณด้านหลังศีรษะหรือด้านข้าง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเซลล์รากผมที่แข็งแรงและมักไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT ที่เป็นสาเหตุของผมร่วง
หลังจากเก็บเนื้อเยื่อแล้ว ทีมแพทย์จะนำมาแยกเป็นกราฟต์ (graft) หรือหน่วยย่อยที่ประกอบด้วยรากผม 1-4 เส้น จากนั้นจึงนำไปปลูกลงในบริเวณที่ผมบางหรือศีรษะล้าน โดยกราฟต์เหล่านี้จะเจริญเติบโตเป็นเส้นผมใหม่ที่แข็งแรงและเป็นธรรมชาติ
ขั้นตอนการปลูกผมด้วยเทคนิค FUT
- การวินิจฉัยและวางแผน: แพทย์จะประเมินสภาพเส้นผม ความหนาแน่น และออกแบบแนวเส้นผมที่เหมาะสมกับรูปหน้าและความต้องการของผู้รับการรักษา
- การฉีดยาชา: บริเวณที่จะผ่าตัดจะถูกฉีดยาชาเฉพาะที่ ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการผ่าตัด
- การเก็บกราฟต์: แพทย์จะตัดแถบหนังศีรษะขนาดความยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร จากบริเวณด้านหลังศีรษะ จากนั้นจะเย็บปิดแผล
- การแยกกราฟต์: ทีมแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการแยกเนื้อเยื่อที่เก็บมาเป็นกราฟต์ขนาดเล็กที่มีรากผม 1-4 เส้น
- การเตรียมบริเวณที่จะปลูก: แพทย์จะเจาะรูเล็กๆ บนหนังศีรษะในบริเวณที่ต้องการปลูกผม โดยคำนึงถึงทิศทางการเจริญเติบโตของเส้นผมเดิมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- การปลูกกราฟต์: ทีมแพทย์จะนำกราฟต์ที่แยกไว้มาปลูกลงในรูที่เตรียมไว้อย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงความหนาแน่นและทิศทางของเส้นผม
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด: ผู้รับการรักษาจะได้รับคำแนะนำให้หยุดยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัด: ผู้รับการรักษาจะได้รับคำแนะนำในการดูแลแผล และบริเวณที่ปลูกผม รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง

เทคนิคปลูกผม FUT แตกต่างจาก FUE อย่างไร ?
แม้ทั้ง FUT และ FUE จะเป็นเทคนิคการปลูกผมที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีความแตกต่างกันในหลายด้าน และมีข้อโดดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไปด้วย
เหตุผลที่ต้องใช้เทคนิค FUT แทน FUE
- กรณีต้องการปลูกผมในพื้นที่กว้าง : หากบริเวณที่ต้องการปลูกผมมีขนาดใหญ่ เช่น แนวไรผมด้านหน้าและกลางศีรษะที่บางร่วมกัน เทคนิค FUT จะสามารถเก็บกราฟต์ได้ในจำนวนมากต่อครั้ง ทำให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้าง โดยไม่จำเป็นต้องมาปลูกซ้ำหลายรอบ
- คุณภาพของกราฟต์ : กราฟต์ผมที่ได้จาก FUT จะมีอัตราการรอดสูงกว่าการเจาะแบบ FUE ที่ต้องใช้เครื่องมือเจาะกราฟต์ออกมาทีละหน่วย
- ประหยัดค่าใช้จ่าย : ในกรณีที่ต้องปลูกผมจำนวนมาก การเลือกเทคนิค FUT จะช่วยประหยัดงบประมาณได้มากกว่า เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อกราฟต์ของ FUT มักจะถูกกว่า FUE และยังใช้เวลาทำน้อยกว่าด้วยเมื่อเทียบในปริมาณกราฟต์ที่เท่ากัน

ข้อดีของ FUT
- ประสิทธิภาพสูง สามารถเก็บกราฟต์ได้จำนวนมากในการผ่าตัดครั้งเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมในพื้นที่กว้าง
- อัตราการรอดของกราฟต์สูง เนื่องจากกราฟต์ถูกแยกภายใต้กล้องจุลทรรศน์ทำให้ได้รับความเสียหายน้อย
- เป็นเทคนิคที่ได้รับการยอมรับมายาวนาน FUT เป็นเทคนิคที่ใช้มานานและมีการศึกษารองรับประสิทธิภาพจากสากล

ข้อเสียของ FUT
- แผลเป็นเส้นตรง เทคนิค FUT ต้องมีการตัดหนังศีรษะเป็นแถบ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีรอยแผลเป็นเส้นตรงบริเวณด้านหลังศีรษะ แม้แพทย์จะเย็บแผลอย่างละเอียดและพยายามให้แผลเรียบเนียนที่สุด แต่หากตัดผมสั้นเกรียนหรือโกนผม รอยแผลเป็นอาจมองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการไว้ทรงผมสั้นหรือมีไลฟ์สไตล์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดผมสั้นเป็นประจำ
- ระยะเวลาฟื้นตัวนาน การผ่าตัดแบบ FUT ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวมากกว่าเทคนิค FUE เพราะมีแผลผ่าตัดที่ยาวกว่า อาจมีอาการตึงบริเวณหนังศีรษะในช่วงแรก และจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวศีรษะมาก เช่น การออกกำลังกายหรือยกของหนัก เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนแผลและส่งผลต่อการหายของแผล
- อาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด ผู้เข้ารับการปลูกผมด้วย FUT มักจะมีอาการเจ็บหรือระบมบริเวณแผลผ่าตัดมากกว่าแบบ FUE เนื่องจากเป็นแผลขนาดใหญ่กว่า ถึงแม้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดตามแพทย์สั่ง แต่อาการไม่สบายตัวในช่วงวันแรก ๆ อาจส่งผลต่อกิจวัตรประจำวันได้
- ข้อจำกัดในการทำซ้ำ ในกรณีที่ต้องการปลูกผมเพิ่มเติมในอนาคต การใช้เทคนิค FUT ซ้ำหลายครั้งอาจทำให้หนังศีรษะบริเวณด้านหลังตึงมากขึ้น ทำให้การผ่าตัดครั้งต่อไปยากขึ้น หรือเก็บกราฟต์ได้จำนวนน้อยลง
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบไว้ทรงผมสั้นมาก ผู้ที่นิยมตัดผมสั้นเกรียน อาจต้องพิจารณาเป็นพิเศษ เพราะ แผลเป็นจาก FUT อาจมองเห็นได้ง่าย ในขณะที่ FUE ไม่มีแผลเป็นแบบเส้นยาว ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการลุคผมสั้นมากกว่า
สรุป
แม้จะมีข้อเสียเรื่องรอยแผลเป็น และระยะเวลาการฟื้นตัวที่นานกว่า FUE แต่ FUT ยังคงเป็นทางเลือกที่แพทย์ผู้ชำนาญการแนะนำสำหรับผู้มาใช้บริการหลายราย โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นที่ผมบางมาก ต้องการปลูกผมในพื้นที่กว้าง และมีงบประมาณจำกัด แต่การตัดสินใจเลือกเทคนิคการปลูกผมที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อประเมินสภาพเส้นผม ความคาดหวัง และปัจจัยส่วนบุคคลอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความผลลัพธ์ของการรักษา