เมื่อพูดถึงปัญหาผมร่วงหรือหัวเถิก หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องของอายุหรือกรรมพันธุ์เท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า “รากผม” คือหัวใจหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพเส้นผม หากรากผมอ่อนแอหรือเสื่อมสภาพ ปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือแม้แต่หัวล้าน ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้
รากผม คืออะไร?
รากผม หรือ Hair Follicle คือโครงสร้างที่ซับซ้อนซึ่งฝังอยู่ลึกในชั้นหนังแท้ (Dermis) ของหนังศีรษะ ทำหน้าที่เป็นโรงงานผลิตเส้นผมและเป็นแหล่งควบคุมการเจริญเติบโตของผม
รากผมประกอบด้วยส่วนสำคัญหลายส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว โดยส่วนที่ลึกที่สุดคือ Hair Bulb ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเซลล์ผม บริเวณนี้จะมี Dermal Papilla ที่อุดมไปด้วยเส้นเลือดฝอยเพื่อส่งสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ผม นอกจากนี้ยังมี Sebaceous Gland หรือต่อมน้ำมันที่ผลิตน้ำมันธรรมชาติเพื่อหล่อเลี้ยงและปกป้องเส้นผม รวมถึง Arrector Pili Muscle ที่ทำให้ผมลุกซู่เมื่อเย็นหรือตื่นเต้น

วงจรชีวิตของเส้นผม
- Anagen (ระยะเจริญเติบโต) เป็นระยะที่เส้นผมเจริญเติบโตอย่างแข็งขัน โดยจะยาวนานประมาณ 2-6 ปี ในระยะนี้เซลล์ในรากผมจะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นผมเติบโตประมาณ 1 เซนติเมตรต่อเดือน
- Catagen (ระยะหยุดเจริญเติบโต) เป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่ยาวนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ ในระยะนี้การเจริญเติบโตของผมจะหยุดลง และรากผมจะเริ่มหดตัว
- Telogen (ระยะพัก) เป็นระยะที่เส้นผมพักการเจริญเติบโต ยาวนานประมาณ 3 เดือน ก่อนที่เส้นผมเก่าจะหลุดออกเพื่อให้ทางแก่เส้นผมใหม่ที่เริ่มเข้าสู่ระยะ Anagen
รากผมผิดปกติ ส่งผลยังไงกับหัวเถิกและหัวล้าน?
เมื่อรากผมมีปัญหาหรือทำงานผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่อ การเจริญเติบโตของเส้นผม อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาผมร่วง หัวเถิก และหัวล้านในระยะยาว
กลไกของผมร่วงที่เกี่ยวกับรากผม
- รากผมฝ่อลีบจากกรรมพันธุ์ (Androgenetic Alopecia) เป็นสาเหตุหลักของหัวเถิกในผู้ชายและผู้หญิง โดยเกิดจากความไวต่อฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ที่ทำให้รากผมหดตัวและผลิตเส้นผมที่บางและสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดรากผมจะหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง
- การอักเสบของหนังศีรษะ จากเชื้อโรค สารเคมี หรือปัจจัยแวดล้อมต่างๆ จะทำให้รากผมอักเสบและไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เส้นผมเปราะบางและหลุดร่วงง่าย
- ฮอร์โมน DHT ทำให้วงจรผมสั้นลง โดยเฉพาะในผู้ชาย ฮอร์โมนนี้จะเข้าไปจับกับรีเซพเตอร์ในรากผม ทำให้ระยะ Anagen สั้นลงและระยะ Telogen ยาวขึ้น ส่งผลให้เส้นผมมีขนาดเล็กลงและหลุดร่วงมากขึ้น
- การดึงผม การใช้สารเคมี การจัดแต่งทรงผมที่ดึงรากผมแรงๆ เช่น การถักเปียหรือรัดผมแน่น หรือการใช้สารเคมีรุนแรง เช่น ยาดัดผม ยาย้อมผม จะทำลายโครงสร้างของรากผมและทำให้เกิดการอักเสบ
ลักษณะของหัวเถิก หัวล้าน จากมุมมองของแพทย์
แพทย์จะสังเกตลักษณะการเปลี่ยนแปลงผ่านรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น แนวผมถอยร่น ที่เริ่มจากบริเวณหน้าผาก โดยเฉพาะตรงมุมผมที่จะเริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง บริเวณขมับโล่งเตียน ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดเจน เนื่องจากบริเวณนี้ได้รับผลกระทบจาก DHT มาก จึงมักเป็นบริเวณแรกที่ได้รับผลกระทบ
สิ่งที่น่าวิตกที่สุดคือ รากผมเริ่มหายไปอย่างถาวร เมื่อรากผม “ตาย” แล้ว จะไม่สามารถผลิตเส้นผมใหม่ได้อีก ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นหัวล้านถาวร
ดูแลรากผมอย่างไร? เพื่อป้องกันแต่เนิ่นๆ
วิธีดูแลรากผมเบื้องต้น
- สระผมให้เหมาะสม ไม่บ่อยเกินไป – การสระผมทุกวันอาจทำให้รากผมและหนังศีรษะแห้งเกินไป ควรสระผม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือปรับตามลักษณะหนังศีรษะและสภาพแวดล้อม
- เลือกแชมพูอ่อนโยน – หลีกเลี่ยงแชมพูที่มี Sulfate หรือสารทำความสะอาดรุนแรง เลือกแชมพูที่มี pH สมดุลและมีส่วนผสมที่อ่อนโยนต่อหนังศีรษะ
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง – ลดการใช้ยาดัดผม ยาย้อมผม หรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งผมที่มีแอลกอฮอลสูง ซึ่งอาจทำให้รากผมเสียหายได้
- นวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นรากผม – การนวดหนังศีรษะอย่างอ่อนโยนประมาณ 5-10 นาทีทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยังรากผม ทำให้รากผมได้รับสารอาหารมากขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด – ความเครียดและการนอนไม่เพียงพอจะส่งผลต่อฮอร์โมนและการทำงานของรากผม ควรนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อวันและหาวิธีจัดการกับความเครียด
อาหารที่ดีต่อรากผม
- โปรตีน เป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม ควรบริโภคเนื้อปลา ไก่ ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม เพื่อให้ร่างกายมีโปรตีนเพียงพอในการสร้างเส้นผม
- ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงรากผม พบได้ในเนื้อแดง ผักใบเขียวเข้ม ถั่วเลนทิล และซีเรียลเสริมธาตุเหล็ก
- สังกะสี ช่วยในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อผม พบได้ในเนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ เมล็ดฟักทอง และเมล็ดทานตะวัน
- ไบโอติน (Biotin) หรือวิตามิน B7 ช่วยในการสร้างเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักของเส้นผม พบได้ในไข่แดง ถั่วอัลมอนด์ ผักใบเขียว และอโวคาโด
แนวทางการรักษารากผม
การใช้ยาเฉพาะทาง
- Minoxidil เป็นยาทาภายนอกที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับรักษาปัญหาผมร่วง ทำงานโดยการขยายหลอดเลือดใต้หนังศีรษะ เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังรากผม และยืดระยะเวลาการเจริญเติบโตของผม
- Finasteride (ใช้ในผู้ชาย) เป็นยารับประทานที่ทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ 5-alpha reductase ที่เปลี่ยน testosterone เป็น DHT ช่วยลดระดับ DHT ภายในรากผม ทำให้รากผมฟื้นตัวและผมหนาขึ้น
เทคโนโลยีรักษารากผมที่ใช้ในคลินิก
- PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นการรักษาที่ใช้เกล็ดเลือดของผู้ป่วยเอง โดยนำเลือดไปปั่นแยกเพื่อให้ได้เกล็ดเลือดเข้มข้น แล้วฉีดเข้าไปในหนังศีรษะ เกล็ดเลือดจะปล่อยสารเร่งการเจริญเติบโตที่ช่วยกระตุ้นรากผมให้ทำงานดีขึ้น
- เลเซอร์กระตุ้นรากผม เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แสงเลเซอร์ความเข้มต่ำ (Low Level Laser Therapy – LLLT) เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการทำงานของเซลล์ในรากผม ช่วยให้ผมเจริญเติบโตดีขึ้นและลดการหลุดร่วง
- การปลูกผมถาวร (Hair Transplant) เป็นขั้นตอนสุดท้ายสำหรับกรณีที่รากผมได้รับความเสียหายอย่างถาวร โดยจะนำรากผมจากบริเวณที่ยังแข็งแรง มาปลูกในบริเวณที่หัวล้าน
BEQ Hair Center ทางเลือกเพื่อฟื้นฟูรากผมและแก้ปัญหารากผม
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาการรักษาปัญหาหัวเถิกและผมร่วง BEQ Hair Center พร้อมให้บริการ
วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล – ทุกคนมีสาเหตุและระดับความรุนแรงของปัญหาที่แตกต่างกัน ที่ BEQ Hair Center จะมีการประเมินสภาพหนังศีรษะและรากผมอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
แพทย์ผู้ชำนาญการ – ด้วยประสบการณ์และความชำนาญในการรักษาปัญหาผมร่วงและการปลูกผม แพทย์ของเราจะให้คำแนะนำและดำเนินการรักษาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
บริการครบวงจร – ไม่ว่าจะเป็นการรักษาระยะเริ่มต้นไปจนถึงการปลูกผมถาวร และการดูแลหลังการปลูกผม
ดูแลหลังการรักษาอย่างใกล้ชิด – การรักษาปัญหาผมร่วงไม่ได้จบเพียงแค่การทำหัตถการ การติดตามผลและการดูแลหลังการรักษาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ทีมงานจะคอยติดตามและให้คำแนะนำในการดูแลอย่างต่อเนื่อง
สามารถติดต่อรับคำปรึกษาและนัดหมายได้ที่
โทรศัพท์: 094-441-4965Line: https://line.me/ti/p/@beq_haircenter
E-mail: Marketing@beqhaircenter.com
Google Map : คลิก
BEQ Hair Center ชั้น 3 อาคารซีพี ทาวเวอร์ (สีลม) , ถนนสีลม บางรัก , กรุงเทพมหานคร 10500
เวลาทำการ: จันทร์ – อาทิตย์ 10.00 – 19.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร)