คนที่เป็นโรคติดต่อ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และ HIV อยากที่จะปลูกผมจะทำได้ไหม? อันตรายหรือเปล่า? วันนี้มีคำตอบแบบเจาะลึก ง่าย ๆ ที่เข้าใจได้ทุกคนมาฝากกัน

แต่ละโรคคืออะไร เหมือนกัน หรือว่าแตกต่างกันยังไง
เริ่มกันที่รู้จักโรคกลุ่มนี้ก่อน ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และ HIV เป็น “โรคติดเชื้อจากการสัมผัสเลือด” ที่ถูกพูดถึงพร้อมกันเวลาตรวจสุขภาพก่อนการปลูกผม การผ่าตัด หรือการบริจาคเลือด ก็เพราะว่า
- สามารถแพร่ผ่านเลือดหรือสารคัดหลั่งได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์, เข็มฉีดยา, เลือด หรือจากแม่สู่ลูก
- มักไม่มีอาการในระยะแรก หลายคนติดเชื้อมานานแต่ไม่รู้ตัว เพราะไม่แสดงอาการชัดเจน
- ต้องตรวจเลือดถึงจะรู้แน่ชัด ใช้วิธีเจาะเลือดเป็นหลักในการตรวจหาเชื้อ
- มีผลต่อการพิจารณาปลูกผม ศัลยกรรมต่าง ๆ และการให้เลือด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือกระทบต่อความปลอดภัยในการรักษา
3 โรคนี้มีความต่างกัน หรือไม่?
- ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง บางคนไม่มีอาการ แต่มีเชื้ออยู่ในเลือด
- HIV เป็นเชื้อไวรัส HIV ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง แต่ถ้าคุมเชื้อได้ดีก็มีสุขภาพปกติดีเหมือนคนทั่วไป

คนที่เป็นโรคกลุ่มนี้ ปลูกผมได้ไหม
สามารถปลูกผมได้ แต่ต้องดูเป็นรายกรณี โดยควรจะปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนว่ามีข้อจำกัดด้านใดบ้างหรือไม่ เช่น
- ไวรัสตับอักเสบบี ต้องแจ้งแพทย์, แผลต้องสะอาด ลดการติดเชื้อ
- ไวรัสตับอักเสบซี ควบคุมค่าไวรัสก่อนปลูก ระวังภาวะแทรกซ้อน
- HIV ควบคุม CD4 และ Viral Load ให้อยู่ในเกณฑ์ก่อน

การเตรียมตัวปลูกผมสำหรับคนที่มีโรคเหล่านี้
1. แจ้งโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบล่วงหน้า ต้องไม่ปิดบัง เพราะแพทย์ต้องใช้ข้อมูลในการวางแผน เพื่อเลือกเทคนิค ยา และการป้องกันการติดเชื้อที่เหมาะกับคุณ
2. ตรวจเลือดก่อนปลูก (ตามคำแนะนำแพทย์) โดยเฉพาะ 2 ค่าเหล่านี้ในผู้ติดเชื้อ HIV
- CD4 Count เป็นค่าบอกภูมิคุ้มกันในร่างกาย — ถ้ามากกว่า 350-500 ถือว่าปลอดภัย
- Viral Load (VL) เป็นค่าบอกปริมาณไวรัส HIV ในเลือด — ถ้าต่ำ หรือ “Undetectable” ยิ่งดีมาก
สำหรับไวรัสตับอักเสบ B หรือ C แพทย์จะดูค่าทำงานของตับเป็นหลัก
3. ควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะคงที่ ต้องกินยาต้านไวรัสตามปกติ ไม่ควรอยู่ในช่วงที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน ไม่มีภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน หรืออ่อนเพลียมาก
4. งดยาที่ทำให้เลือดออกง่าย หรือแผลหายช้า เช่น แอสไพริน, น้ำมันปลา, วิตามิน E (ควรงดล่วงหน้า 5–7 วัน) แจ้งแพทย์หากใช้ยาประจำใด ๆ อยู่
สาเหตุที่ต้องตรวจ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และ HIV ก่อนปลูกผม
1. การปลูกผมคือหัตถการที่มีแผล “จำนวนมาก” แม้จะไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ แต่การปลูกผมมีการ เจาะกราฟต์ทีละจุด จึงมี “เลือดออกเล็กน้อย” กระจายทั่วบริเวณที่ทำ
2. โรคเหล่านี้ “ติดต่อได้ทางเลือด” การรู้ผลตรวจล่วงหน้า = ทีมแพทย์จะสามารถ วางแผนใช้เครื่องมือแยกเฉพาะ ลดความเสี่ยงต่อบุคลากร เลือกใช้เทคนิคปลูกผมที่ปลอดภัยกับคนไข้
3. เพื่อความปลอดภัยของ “ตัวคนไข้เอง” ผู้ที่มีเชื้อ HIV หรือไวรัสตับ อาจมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ หากไม่ได้วางแผนดี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลอักเสบติดเชื้อ หากรู้ค่าต่าง ๆ เช่น CD4, Viral Load, ค่าตับ แพทย์จะสามารถเตรียมยาและเทคนิคพิเศษให้ได้
สรุป : หากมีโรคประจำตัวอย่าง โรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และ HIV ที่คนไม่กล้าพูดถึง
สามารถปลูกผมเสริมความมั่นใจให้กับตัวเองได้ไหม ทำได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ที่มีความชำนาญการทางด้านการปลูกผมให้กับกลุ่มโรคเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของคนไข้และทีมแพทย์ ซึ่งที่ BEQ Hair Center มีเทคโนโลยีขั้นสูง แพทย์มีประสบการณ์ที่ดูแลคนไข้กลุ่มนี้อย่างดี ด้วยเทคนิค DHIv (ดีเอชไอวี) ที่พัฒนาโดย BEQ Hair Center และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ
“คนทั่วไป หรือกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว 3 โรคนี้ มีปัญหาเดียวกันคือ ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT สาเหตุที่ทำให้ผมบาง ศีรษะล้าน-เถิก สามารถแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ออกแบบการรักษาพิเศษเฉพาะคุณเท่านั้น พร้อมมาตรฐานระดับสากล ต้องที่นี่ BEQ Hair Center
—————————————————–
📞 ปรึกษาฟรีกับแพทย์ผู้ชำนาญการที่ BEQ Hair Center
➡️ จองคิวปรึกษาได้เลย
📍 BEQ Hair Center | ปลูกผมอย่างมีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าใจคุณ