การดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะง่ายขึ้นมาก เพราะเราเข้าถึงยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะจากร้านขายยา หรือแม้แต่ช่องทางออนไลน์ แต่ท่ามกลางความสะดวกสบายนี้ มีสิ่งที่เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ นั่นคือ “ยาชุด” และการ “ซื้อวิตามินกินเอง” ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าปลอดภัย และสามารถใช้ได้ตามใจชอบ แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ปลอดภัยจริงหรือ? และมีอะไรบ้างที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้ เพื่อไม่ให้ประโยชน์กลายเป็นโทษต่อร่างกายในระยะยาว
ยาชุด คืออะไร และมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
ยาชุด โดยทั่วไป คือการนำยาหลายชนิดมารวมกันในซองเดียว หรือในแผงเดียว โดยไม่ได้แยกประเภท หรือปริมาณยาที่ชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นการจัดยาโดยผู้ที่ไม่ได้เป็นเภสัชกร หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผู้บริโภคไม่ทราบว่ากำลังรับประทานยาชนิดใดบ้าง ปริมาณเท่าไร และยาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงอย่างไร
ส่วนประกอบที่พบบ่อยในยาชุด/ยาครอบจักรวาล
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เช่น อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin), เตตราไซคลีน (Tetracycline) ซึ่งควรใช้เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อหรือผิดวัตถุประสงค์ทำให้เกิดภาวะเชื้อดื้อยาได้
- ยาแก้ปวด/ลดอักเสบ (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนค (Diclofenac), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาเหล่านี้ช่วยลดอาการปวด และอักเสบ แต่หากใช้เกินขนาด หรือติดต่อกันนานๆ อาจส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหาร ไต หรือตับได้
- สเตียรอยด์ (Steroids) เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone), เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) สเตียรอยด์มีฤทธิ์ลดการอักเสบได้รวดเร็ว จึงมักถูกนำมาใส่ในยาชุดเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การใช้สเตียรอยด์โดยไม่มีการควบคุมจากแพทย์เป็นอันตรายอย่างยิ่ง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น กระดูกพรุน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง กดภูมิคุ้มกัน หรือภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวช
- ยาแก้แพ้/ลดน้ำมูก (Antihistamines) เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ซึ่งมักทำให้เกิดอาการง่วงซึม

ทำไมยาชุด/ยาครอบจักรวาลถึง “เสี่ยงจริง”?
การใช้ยาชุด หรือยาครอบจักรวาลมีความเสี่ยงสูงกว่าที่คุณคิดหลายเท่า เพราะ
- ไม่ทราบชนิดและปริมาณยาที่แน่นอน ผู้ใช้ไม่รู้ว่ากำลังกินยาอะไรบ้าง และปริมาณยาแต่ละชนิดเหมาะสมกับอาการ หรือไม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การได้รับยาเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจ
- ได้รับยาที่ไม่จำเป็น หากอาการป่วยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การใช้ยาปฏิชีวนะก็ไม่จำเป็น และยังส่งเสริมให้เชื้อดื้อยา
- ยาตีกัน (Drug Interaction) ยาหลายชนิดในยาชุดอาจทำปฏิกิริยากันเอง ทำให้ประสิทธิภาพยาชนิดหนึ่งลดลง หรือเพิ่มผลข้างเคียงของอีกชนิดหนึ่ง
- ผลข้างเคียงรุนแรงจากสเตียรอยด์ เป็นอันตรายที่สุด การใช้สเตียรอยด์ต่อเนื่องโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่ทำลายสุขภาพในระยะยาว เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หน้าบวมฉุ (Moon Face) ผิวหนังบาง เป็นแผลได้ง่าย หรือภาวะกระดูกพรุน
- บดบังอาการที่แท้จริงของโรค ยาชุดมักบรรเทาอาการได้รวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าหายแล้ว และไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคที่แท้จริง ซึ่งอาจเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องการการรักษาเฉพาะทาง
- ไม่เหมาะสมกับบุคคล ยาบางชนิดอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยโรคไต โรคตับ ความดันโลหิตสูง หรือหญิงตั้งครรภ์
ซื้อวิตามินกินเอง ปลอดภัยจริงหรือ?
วิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าการกินวิตามินเสริมจะดีเสมอไป การซื้อวิตามินมากินเองโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจกินวิตามินเสริม
- คุณอาจได้รับวิตามินเพียงพออยู่แล้ว หากคุณทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลากหลายเพียงพอ ร่างกายก็มักจะได้รับวิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างเพียงพออยู่แล้ว การกินวิตามินเสริมในกรณีนี้อาจไม่จำเป็น
- วิตามินบางชนิดหากได้รับมากไปก็อันตราย วิตามินบางชนิด เช่น วิตามิน A, D, E, K เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากได้รับมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถขับออกได้ง่าย และอาจสะสมจนเกิดพิษต่อตับ ไต หรือระบบประสาท
- อาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่คุณทานอยู่ วิตามินบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยาที่คุณกำลังทานอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง หรือเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง เช่น วิตามิน K อาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ความเข้าใจผิดว่าวิตามินเป็นยาครอบจักรวาล บางคนเชื่อว่าวิตามินสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด ทำให้ละเลยการรักษาที่ถูกต้องตามแพทย์แนะนำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- คุณภาพของผลิตภัณฑ์ วิตามิน และอาหารเสริมมีหลายยี่ห้อในท้องตลาด ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน และมีฉลากยาที่ระบุข้อมูลครบถ้วน

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจใช้ยาและวิตามิน
การดูแลสุขภาพที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การรักษาอาการ แต่คือการเข้าใจ และตัดสินใจอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นยาชุด หรือวิตามินที่คุณตั้งใจจะซื้อกินเอง
- ปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนเสมอ หากมีอาการเจ็บป่วย หรือต้องการเสริมวิตามิน ควรปรึกษาเภสัชกรในร้านยาที่ได้รับอนุญาต หรือปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และได้รับยา หรือวิตามินที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณ
- ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ สังเกตป้าย “ร้านยา” ที่มีใบอนุญาตถูกต้อง และมีเภสัชกรประจำร้าน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และยาที่มีคุณภาพ
- อ่านฉลากยาและวิตามินอย่างละเอียด ตรวจสอบชื่อยา ส่วนประกอบ วิธีใช้ ขนาดรับประทาน ข้อควรระวัง วันหมดอายุ และเลขทะเบียนยาให้ครบถ้วน
- ไม่ควรซื้อยาชุดมาใช้เอง หลีกเลี่ยงการซื้อยาจากแหล่งที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือยาที่จัดเป็นชุดโดยไม่มีการระบุข้อมูลยาที่ชัดเจน
- ให้ข้อมูลสุขภาพแก่เภสัชกร/แพทย์ แจ้งให้เภสัชกรหรือแพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว หรือยา และอาหารเสริมอื่นๆ ที่คุณกำลังใช้อยู่ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง และปฏิกิริยาระหว่างยา
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร?
- ปรึกษาแพทย์ หากคุณมีอาการเจ็บป่วยที่รบกวนชีวิตประจำวัน หรือมีอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ การไปพบแพทย์จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และการรักษาที่เหมาะสม
- ปรึกษาเภสัชกร สำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เภสัชกรสามารถให้คำแนะนำเรื่องยา และการดูแลตัวเองเบื้องต้นได้อย่างปลอดภัย
ยาชุด สเตียรอยด์ กับปัญหาผมร่วง ผมบาง ความเชื่อมโยงที่คุณอาจไม่เคยรู้ !
หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า “ยาชุด” ที่หาซื้อง่าย และใช้กันแพร่หลายในอดีต (และยังคงมีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน) หรือยาที่ผสม สเตียรอยด์ อาจเป็นหนึ่งในตัวการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพเส้นผมของคุณ จนนำไปสู่ปัญหาผมร่วง ผมบางได้ วันนี้เราจะมาเจาะลึกความเชื่อมโยงนี้ เพื่อให้คุณเข้าใจและระมัดระวังในการใช้ยามากขึ้น

ยาชุด และสเตียรอยด์ ส่งผลต่อผมร่วง ผมบางได้อย่างไร?
สเตียรอยด์ที่มักพบในยาชุด สามารถส่งผลกระทบต่อเส้นผมได้หลายกลไก
- รบกวนวงจรการเติบโตของเส้นผม (Hair Growth Cycle)
- ยืดระยะพัก (Telogen) สเตียรอยด์ (โดยเฉพาะสเตียรอยด์ชนิดรับประทานหรือฉีดในปริมาณสูงและเป็นเวลานาน) สามารถรบกวนสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย และส่งผลให้เส้นผมจำนวนมากเข้าสู่ระยะพัก (Telogen Phase) พร้อมกัน ทำให้เกิดภาวะผมร่วงทั่วศีรษะแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้ เมื่อผมเข้าสู่ระยะพักพร้อมกัน ก็จะพร้อมกันหลุดร่วงในเวลาต่อมา ทำให้ผมดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด
- ลดการสร้างเส้นผมใหม่ การที่ร่างกายได้รับสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้รูขุมขนทำงานผิดปกติ ลดความสามารถในการสร้างเส้นผมใหม่ หรือทำให้เส้นผมที่งอกใหม่มีขนาดเล็กลง อ่อนแอลง
- ผลข้างเคียงต่อระบบฮอร์โมนโดยรวม
- สเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ การได้รับสเตียรอยด์จากภายนอกเป็นเวลานาน อาจไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติได้น้อยลง ซึ่งความไม่สมดุลของฮอร์โมนเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพเส้นผมโดยตรง
- ในบางราย การใช้สเตียรอยด์อาจไปกระตุ้นหรือเปลี่ยนแปลงสมดุลของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับผมร่วงจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) ให้มีอาการแย่ลงได้
- ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่กระทบต่อหนังศีรษะ และเส้นผม
- การติดเชื้อ การใช้สเตียรอยด์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้หนังศีรษะอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น ซึ่งการติดเชื้อเหล่านี้สามารถนำไปสู่การอักเสบ และผมร่วงตามมา
- ผิวหนังบาง การใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวหนังโดยรวมรวมถึงหนังศีรษะบางลง อ่อนแอลง ทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ง่ายขึ้น
สรุป ยาชุด/สเตียรอยด์ กับผมร่วง ผมบาง
ยาชุดและสเตียรอยด์สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม ไม่มีการควบคุมปริมาณ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ผมร่วงจากยาชุด/สเตียรอยด์ เกิดจากกาารบกวนวงจรชีวิตเส้นผม ที่ทำให้ระยะพักยาวนานขึ้น ซึ่งอาจเป็นชั่วคราว และกลับมางอกใหม่ได้เมื่อหยุดยาและร่างกายฟื้นตัวจากผลข้างเคียงของยา
- แต่ในบางกรณี หากมีการทำลายรูขุมขนอย่างรุนแรงจากการติดเชื้อ หรือการใช้ยาที่กระทบต่อฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดภาวะผมบางที่แก้ไขได้ยาก หรือเป็นแบบถาวรได้ในที่สุด
คำแนะนำสำคัญ เพื่อสุขภาพเส้นผม และร่างกายที่ดี
- หลีกเลี่ยง “ยาชุด” และ “ยาครอบจักรวาล” ทุกชนิด หากคุณไม่ทราบส่วนประกอบและไม่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์
- ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเสมอ เมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและยาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมกับอาการของคุณที่สุด
- แจ้งแพทย์เรื่องยาที่ใช้อยู่ หากคุณกำลังทานยาใดๆ รวมถึงยาที่ได้มาเอง ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
- หากมีปัญหาผมร่วง และสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมเพื่อประเมินหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
ที่ BEQ Hair Center เราตระหนักถึงสาเหตุของปัญหาผมร่วงที่หลากหลาย หากคุณกังวลว่าผมร่วงจากยา หรือต้องการปรึกษาปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะ เรามีทีมแพทย์ผู้ชำนาญการพร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่แม่นยำและปลอดภัยสำหรับคุณ
กำลังกังวลเรื่องผมร่วงที่อาจเกิดจากยา? ปรึกษาทีมแพทย์ BEQ Hair Center ได้เลย! BEQ Hair Center วันนี้ เพื่อผมสวยสุขภาพดีที่คุณคู่ควร!
📞 ปรึกษาฟรีกับแพทย์ผู้ชำนาญการที่ BEQ Hair Center
➡️ จองคิวปรึกษาได้เลย
📍 BEQ Hair Center | ปลูกผมอย่างมีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าใจคุณ