หลายๆคนได้มีการถามเข้ามาว่า เราจะบำรุงรากผมให้แข็งแรงได้อย่างไร จริงๆแล้วบริเวณที่ยังไม่ล้าน-เถิก หรือพอมีไรผม หรือ ผมอ่อนนั้น สามารถทำ Recell Hair Micro Transplant ได้ครับ หากสนใจทำสามารถอ่านเพิ่มได้ คลิก
สำหรับบริเวณที่ล้าน-เถิกไปแล้ว และต้องการทำการปลูกผมย้ายรากแบบ FUE DHI หรือ Long Hair สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางนี้ครับ คลิก
นอกเหนือจากการทำการปลูกผมทั้งสองแบบด้านบนแล้ว ยังมีอาหารอีกหลายประเภทในการบำรุงเส้นผมของเรา จากภายในสู่ภายนอก เริ่มต้นจากการกินอาหารบำรุงผม เมื่อร่างกายเราได้รับสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะวิตามินอี บี ซี และพวกโปรตีนต่างๆ ก็จะช่วยให้ผมแข็งแรงได้อีกทางหนึ่ง แล้วต้องกินอะไรบ้าง มาดูกัน
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน-1024x512.jpg)
1.ถั่วและธัญพืช
เนื่องจากในถั่วต่างๆ และธัญพืชมีสารอาหารที่เรียกว่า ไบโอติน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงเล็บ ผิวหนัง และเส้นผมของเราให้แข็งแรง ดูมีสุขภาพดี ถ้าขาดไบโอตินจะทำให้เกิดภาวะผมร่วง ผมแตกปลาย และผมหงอกก่อนวัยอันควร สำหรับถั่วที่แนะนำให้รับประทาน ได้แก่ ถั่วฝักยาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือถั่วลิสง เป็นต้น
ส่วนธัญพืชจำพวกเมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน เล็ดฟักทอง ฯลฯ ก็เต็มไปด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพเส้นผมเช่นกัน คือ สังกะสี ธาตุเหล็ก และวิตามินบี ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะทำให้เส้นผมหนานุ่ม เงางาม ดกดำ
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_0-1024x512.jpg)
2. นมสด ชีส โยเกิร์ต
หรือพูดอีกอย่าง ก็คือ ผลิตภัณฑ์จากนมนั่นเอง ควรรับประทานให้เพียงพอ เพราะในนมประกอบไปด้วยเคซีน (Casein) และเวย์ (Whey) ซึ่งเป็นสารอาหารประเภทโปรตีน มีส่วนสำคัญมากที่ช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเส้นผม ช่วยบำรุงให้เส้นผมของเราแข็งแรง
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_1-1024x512.jpg)
3. ปลาแซลมอน
เนื้อปลาแซลมอนอุดมไปด้วยโอเมก้า3 กรดไขมัน วิตามินบี12 ธาตุเหล็ก และยังเต็มไปด้วยโปรตีน เป็นกลุ่มสารอาหารที่จะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ที่สำคัญมีไขมันน้อย ทานง่าย
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_2-1024x512.jpg)
4. ผักใบเขียว
ใคร ที่ไม่ชอบทานผัก ต้องหันมาเริ่มทานผักได้แล้ว โดยเฉพาะผักใบเขียวและเขียวเข้มที่ มีสารอาหารจำพวกวิตามินเอและซี ซึ่งจำเป็นต่อการบำรุงเส้นผมของคุณอย่างมาก และยังช่วยบำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรง รากผมยึดเกาะได้ดีขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างผักที่ควรรับประทาน ก็คือ บล็อกโคลี่ ผักโขม คะน้า ผักบุ้ง เป็นต้น
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_3-1024x512.jpg)
5. ไข่
ไข่ไก่เป็นอาหารสารพัดคุณประโยชน์ หาทานได้ไม่ยาก และที่มากไปกว่านั้นการนำมาปรุงได้หลากหลายเมนู อร่อยๆ ทั้งนั้น ไข่ไก่อุดมไปด้วยสารอาหารทั้งโปรตีน ไบโอติน และวิตามินบี12 ทำให้เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วง
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_4-1024x512.jpg)
6. หอยนางรม หอยแมลงภู่
หอยนางรมอุดมไปด้วยสังกะสี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันรังแคและการขาดร่วงของเส้นผม ส่วนหอยแมลงภู่ก็มีสารอาหารธาตุเหล็กสูง แถมยังมีคอลลาเจนช่วยบำรุงผิว เล็บ และเส้นผมอีกด้วย แต่มีข้อพึงระวังก็คือ คอเลสเตอรอล ที่ค่อนข้างสูง
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/บทความจิปาถะ01_7อาหารบำรุงผม-รากผมแข็งแรงแน_5-1024x512.jpg)
7. กล้วยหอม
กล้วยหอมมีสารอาหารจำพวก วิตามินบี6 และแร่ซิลาก้า ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง นอกจากนี้กล้วยยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง มีส่วนช่วยทำให้หนังศีรษะแข็งแรง ป้องกันการขาดหลุดร่วงของเส้น และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีอีกด้วยนะครับ
แต่สำหรับคนที่มีปัญหาผมบางศีรษะล้านเถิก เกินที่จะแก้ไขด้วยวิธีการบำรุงด้วยอาหารแล้ว เรายังมีวิธีที่จะช่วยจบปัญหาดังกล่าวนั่นคือการปลูกผม คือ การนำรากผมที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์มาปลูกในบริเวณที่ไม่มีเส้นผมแล้ว ซึ่งการรากผมที่นิยมนำมาปลูกมักจะเป็นรากผมจากบริเวณท้ายทอย เนื่องจากรากผมบริเวณดังกล่าวจะมีความแข็งแรงสมบูรณ์และมีอายุมากกว่ารากผมบริเวณอื่นมาก จึงนำรากผมจากส่วนท้ายทอยมาปลูกทดแทนส่วนของรากผมที่อ่อนแอจนไม่มีเส้นผมงอกขึ้นมาแล้ว ซึ่งการรักษาอาการศีรษะล้านด้วยการ การปลูกผม นับว่าเป็นวิธีที่ดีและช่วยแก้ไขปัญหาศีรษะล้านได้
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2019/12/บทความที่08_ความหนาแน่นของการปักกราฟต์-07-1-1024x512.png)
การแก้ไขปัญหาศีรษะล้านเถิก
สมัยนี้มีเทคโนโลยีและวิวัฒนาการที่ล้ำสมัยทำให้คนที่มีปัญหาหัวล้านเถิกไม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว
โดยในปัจจุบันมีการปลูกผมด้วยกัน 2 วิธีที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย นั่นคือ
วิธีที่ 1 FUT หรือ Follicular Unit Transplantation เทคนิคการศัลยกรรมปลูกผม เป็นวิธีที่มีมาก่อน FUE โดยการกรีดเอาชิ้นเนื้อจากหนังศีรษะบริเวณด้านหลังความยาว 10-20 ซ.ม. กว้าง 1-2 ซ.ม. นำมาหั่นเพื่อคัดกรองแยกกราฟต์ แล้วจึงนำกลับไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว เพราะทำให้เกิดรอยแผลเป็นทางยาวที่ด้านหลังศีรษะ และต้องพักฟื้นเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์
วิธีที่ 2 DHI (Direct Hair Implantation) เป็นการปลูกผมด้วยเทคนิค FUE ประเภทหนึ่ง ซึ่งก็คือ มีขั้นตอนการเจาะนำกราฟต์ที่บริเวณท้ายทอย (Donor Area) ออกมาเช่นเดียวกัน แต่ในขั้นตอนการปลูก หากเป็นเทคนิค FUE แบบดั้งเดิมนั้น แพทย์จะต้องใช้เข็มเจาะลงไปบนหนังศีรษะก่อนเพื่อให้เกิดรู แล้วจึงใช้ forceps คีบกราฟต์ผมมาปักลงไปในรอยเจาะนั้น แต่หากเป็นเทคนิค DHI สามารถปัก และปลูกผมได้ภายในครั้งเดียว ด้วยเครื่องมือเฉพาะที่ชื่อว่า DHI Implanter
![](https://beqclinic.com/wp-content/uploads/2020/03/3.33บทความที่07_ปลูกผมด้วยสเต็มเซลล์รากผม-ผมข-1024x512.jpg)
การแก้ไขปัญหาผมบาง
การปลูกผม ด้วยเซลล์รากผม ReCell Hair Micro Transplant เป็นการปลูกผมด้วยเซลล์รากผมที่ถูกสกัดออกมา จากบริเวณด้านหลังศีรษะ ที่เปรียบเสมือน “Natural Finasteride” มาผ่านกระบวนการทางการแพทย์ เพื่อคัดแยกเอาเฉพาะเซลล์รากผมที่แข็งแรงสมบูรณ์แล้วนาไปฉีดกลับยังบริเวณที่มีปัญหาผมบาง เพื่อซ่อมแซมเซลล์รากผมที่ฝ่อตัวไปจากอิทธิพลของฮอร์โมน DHT ให้กลับสู่สภาพแข็งแรง และยังกระตุ้นให้เซลล์รากผมแตกตัว และเจริญเติบโตเป็นเส้นผมใหม่จานวนมากยิ่งขึ้น สามารถเห็นผลได้หลังทาไปแล้ว 3 สัปดาห์ และเห็นผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ หลังทาไปแล้วเพียงแค่เดือนเดียว อีกทั้งแผลบริเวณที่เจาะนาเนื้อเยื่อออกมามีขนาดเล็กมาก จึงไม่ต้องทาการปิดแผล หรือพักฟื้นใด ๆ สามารถดาเนินชีวิตได้ตามปกติ
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th