“ผมบาง หัวล้าน” เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจของหลายคน แต่ในปัจจุบันนี้ก็มีสิ่งที่เข้ามาช่วยเติมเต็มความมั่นใจ แก้ไขปัญหานี้ได้นั่นคือการ ปลูกผม แต่เชื่อว่าหลายคนที่กำลังสนใจการปลูกผม ก็ยังมีเรื่องที่สงสัย และอยากทราบเพิ่มเติมก่อนจะตัดสินใจอย่างแน่นอน วันนี้ BEQ Hair Center จึงขอพาไปรู้จักอย่างเจาะลึกว่า การปลูกผมคืออะไร เพื่อจะนำไปใช้อธิบายในตอนท้ายนะครับ
ปลูกผม คืออะไร?
การปลูกผม (Hair Transplantation) คือหัตถการทางการแพทย์ ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาผมบาง ผมร่วง หรือศีรษะล้าน โดยแพทย์จะย้ายเส้นผมจากบริเวณที่มีเส้นผมหนาแน่น มีคุณภาพดี ซึ่งมักเป็นบริเวณด้านหลังและด้านข้างของศีรษะ ไปยังบริเวณที่ผมบาง หรือล้าน
หลักการสำคัญของการปลูกผมคือการ ใช้เส้นผมของตัวผู้รับบริการ ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ รวมถึงเส้นผมที่ย้ายไปปลูกนี้จะเติบโตและมีลักษณะเหมือนเส้นผมปกติของผู้ป่วย
ปัญหาผมร่วง หัวล้านที่สามารถปลูกผมได้
- ผมบางจากพันธุกรรม (Androgenetic Alopecia) – เป็นสาเหตุหลักประมาณ 80% ของการเกิดผมบางในผู้ชาย และผู้หญิง
- ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) – มักเกิดร่วมกับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านเซลล์ตนเอง เช่น โรคไทรอยด์ SLE เป็นต้น
- ผมบางจากการบาดเจ็บ หรือแผลเป็น – เช่น แผลไฟไหม้ หรือการผ่าตัดที่ศีรษะ
- การสูญเสียเส้นผมจากการดึงรั้ง – เกิดจากการทำทรงผมที่ดึงรั้งเส้นผมซ้ำๆ และเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคนิคการปลูกผม ในการปลูกคิ้ว ปลูกหนวดเครา เพื่อเสริมความหนา เพื่อแก้ปัญหาผู้ที่มีคิ้วบาง หนวดเคราไม่สม่ำเสมอได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีปัญหาผมร่วงจะสามารถรับการปลูกผมได้ เพราะผู้ที่ต้องการปลูกผม ควรมีเส้นผมในบริเวณ donor area ที่แข็งแรง และมีเส้นผมเพียงพอ
การปลูกผม มีแบบไหนบ้าง?
ในปัจจุบัน เทคนิคการปลูกผมที่ได้รับการยอมรับมีอยู่ 2 วิธีหลัก ได้แก่
FUT (Follicular Unit Transplantation)
FUT หรือ Follicular Unit Transplantation เป็นเทคนิคปลูกผมแบบดั้งเดิมที่ใช้มานาน ขั้นตอนคือ
แพทย์จะตัดแผ่นหนังบางๆ (strip) จากบริเวณด้านหลังศีรษะ และนำแผ่นหนังที่ได้มาแยกเป็นหน่วยเส้นผม (follicular units) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ จากนั้นทำการเจาะรูเล็กๆ ในบริเวณที่ต้องการปลูกผม
และปลูกหน่วยเส้นผมลงในรูที่เตรียมไว้
ข้อดี:
- สามารถปลูกผมได้จำนวนมากในครั้งเดียว
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกผมในพื้นที่กว้าง
- มีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับจำนวนกราฟต์ผมที่ได้
ข้อเสีย:
- เกิดแผลเป็นเส้นยาวบริเวณด้านหลังศีรษะ
- ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า
- มีอาการเจ็บหลังผ่าตัดมากกว่า
- เป็นเทคนิคล้าหลัง ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วในปัจจุบัน
FUE (Follicular Unit Extraction)
FUE หรือ Follicular Unit Extraction เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน มีขั้นตอนในการทำคือการโกนผมบริเวณ donor area ให้สั้น ใช้เครื่องมือพิเศษเจาะเอาหน่วยเส้นผมออกมาทีละหน่วยแล้วเก็บรักษาหน่วยเส้นผมในสารละลายพิเศษ จากนั้นแพทย์จะทำการเจาะรูเล็กๆ ในบริเวณที่ต้องการปลูกผม และปลูกหน่วยเส้นผมลงในรูที่เตรียมไว้
ข้อดี:
- ไม่เกิดแผลเป็นเส้นยาว มีเพียงรอยจุดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นเมื่อผมยาวขึ้น
- เวลาพักฟื้นสั้นกว่า
- ความเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า
- สามารถกลับไปทำงานได้เร็วกว่า
ข้อเสีย:
- ใช้เวลาในการทำหัตถการนานกว่า
- ราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับจำนวนกราฟต์ผมที่ได้
- อาจได้จำนวนกราฟต์ผมน้อยกว่าในการทำครั้งเดียว
กราฟต์ผมคืออะไร
กราฟต์ผม (Hair Graft) คือหน่วยย่อยที่ใช้ในการปลูกผม ประกอบด้วยรากผม 1-4 เส้นพร้อมเนื้อเยื่อโดยรอบ แต่ละกราฟต์ผมจะถูกปลูกลงในรูเล็กๆ ที่เตรียมไว้ในบริเวณรับ จำนวนกราฟต์ผมที่ต้องใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการปลูกและความหนาแน่นที่ต้องการ
นอกจาก 2 เทคนิคที่ว่ามา หลายคนอาจจะเคยได้ยินการปลูกผมแบบ DHI กันมาบ้าง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดข้อสงสัยกันได้ว่า เป็นเทคนิคแบบใด ทำไมที่ BEQ Hair Center ถึงมีการใช้เทคนิคที่ว่านี้
DHI ที่ BEQ Hair Center คืออะไร?
ที่จริงแล้ว DHI ถือว่าเป็นหนึ่งในการปลูกผมแบบ FUE แต่ถ้าว่ากันถึงความแตกต่างแล้ว ต้องขออธิบายการปลูกผมแบบ FUE ให้เห็นภาพกันก่อน
ในการปลูกผมแบบ FUE ทั่วไป แพทย์จะใช้เข็มทำการเจาะรูที่หนังศีรษะ จากนั้นใช้ Forceps (คีมปลายแหลม) ในการคีบกราฟต์ผม ปักเข้าไปในรูที่เจาะไว้ ซึ่งสิ่งที่มักตามมาคือ ในการเจาะรู ปักกราฟต์ผมลงไปนับพันกราฟต์ มักจะเกิดปัญหาที่ว่า รูที่เจาะลึกไม่เท่ากัน หรือ ควบคุมทิศทางของแนวเส้นผมได้ไม่สม่ำเสมอ
DHI (Direct Hair Implantation) จึงเข้ามาเพื่อปรับปรุงข้อเสียที่เกิดขึ้นนี้ เพราะแทนที่จะต้องเจาะแล้วปักทีละขั้นตอน แพทย์สามารถบรรจุกราฟต์ผมลงในเครื่องมือที่เรียกว่า DHI Implanter และเจาะพร้อมปักลงในหนังศีรษะได้ในขั้นตอนเดียว สรุปโดยง่ายคือ DHI คือการปลูกผมโดยใช้เครื่องมือเฉพาะมาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ลดข้อผิดพลาด ปลูกได้แม่นยำขึ้น ควบคุมทิศทางของเส้นผมได้มากขึ้น
และทำให้การปลูกผมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการนำผมออกมาจากบริเวณที่ต้องการ (Donor Area)
การกรีดหนังศีรษะ(FUT) เป็นวิธีการดั้งเดิมที่สุด คือการกรีดหนังศีรษะออกมาเป็นท่อนแล้วทำการเย็บปิดแผลที่สร้างขึ้น จากนั้นก็ทำการแยกเซลล์รากผม ออกจากชิ้นเนื้อหนังศีรษะนั้นออกมาอีกที โดนเราสามารถสังเกตได้จากรอยแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นเส้นยาวบริเวณด้านหลังศีรษะ
การเจาะดึงรากผม(เทคนิคอื่นๆ) เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันครับ คือการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เจาะกราฟต์ผมออกมาจากบริเวณหลังศีรษะทีละกราฟต์แล้วดึงออกมา โดยอุปกรณ์ที่ใช้เจาะเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ต่อคุณภาพของกราฟต์ผม รวมถึงขนาดแผลที่จะเกิดบริเวณหลังศีรษะของเราครับ
ปลูกผมแล้วต้องดูแลยังไง
การปลูกผม จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เมื่อดูแลร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียเส้นผมในอนาคตและส่งเสริมการเติบโตของเส้นผมที่มีอยู่ เช่น
- Finasteride – ยารับประทานที่ช่วยยับยั้งฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นสาเหตุของผมร่วงจากพันธุกรรม
- Minoxidil – ยาทาบริเวณศีรษะที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และการเติบโตของเส้นผม
- เลเซอร์บำบัด – การใช้แสงเลเซอร์พลังงานต่ำเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเส้นผม
- PRP (Platelet-Rich Plasma) – การนำเกล็ดเลือดที่สกัดจากเลือดของท่านเอง มาฉีดเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเส้นผม
- อาหารเสริมบำรุงผม – เช่น วิตามินบีรวม, ไบโอติน, ธาตุเหล็ก และสังกะสี
- แชมพู และผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเฉพาะทาง – ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของเส้นผม และหนังศีรษะได้ดีมากขึ้น

ขั้นตอนการคงสภาพกราฟต์
การใช้น้ำยาแช่กราฟต์ เพื่อรักษาสภาพกราฟต์ ขั้นตอนนี้เป็นหนึ่งจุดที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มอัตราการอยู่รอดของกราฟต์ผมที่ถูกตัดขาดจากเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตขณะยังอยู่บนหนังศีรษะ โดยที่สามารถใช้เพียงน้ำเกลือทั่วไป ไปจนน้ำยาแช่กราฟต์ที่มีความจำเพาะกับเส้นผม
การตกแต่งกราฟต์ผม ไม่ว่าจะเป็นการนำกราฟต์ผมออกจากศีรษะประเภทไหน ก็จะต้องมีเนื้อเยื่อของหนังศีรษะรอบ ๆ เส้นผมนั้นติดมาด้วย ดังนั้นหากไม่มีการตัดแต่งกราฟต์ผมก็จะทำให้หลังการปลูกผมมีลักษณะคล้ายไข่ปลาเกิดขึ้น และอาจทำให้ปลูกผมได้ไม่หนาแน่นเท่าที่ควร ความเชี่ยวชาญในการตกแต่งกราฟต์ผมก็สำคัญมาก ๆ เพราะต้องผ่านการฝึกฝนและการสั่งสมประสบการณ์ครับ

ขั้นตอนการปลูกผม
ปลูกโดยใช้เข็มและคีม(Forceps)(1) เป็นการปลูกผมแบบดั้งเดิมคือการใช้เข็มเจาะลงไปบริเวณหนังศีรษะ เพื่อหยอดผมลงไปโดยการใช้คีมคีบลงไปปลูกนั่นเอง โดยวิธีการนี้แพทย์จะต้องควบคุมความลึก องศา และทิศทางด้วยเข็ม ที่อาจเป็นสาเหตุของการปลูกผมแล้วทิศทางไม่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากมืออาจไม่มีความเที่ยงเท่ากันตลอดเวลา
ปลูกโดยใช้ Implanter(2) เป็นการใช้เครื่องมือเจาะและปลูกในชิ้นเดียว ไม่ใช่เพียงเพื่อลดความผิดพลาดของแพทย์ แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูกผม เพราะหัวเข็มของ Implanter มีขนาดเส้นรอบวงเล็กกว่าเข็มทั่วไป และยังสามารถควบคุมความลึกได้อีกด้วย

การปลูกผม เทคนิคต่างๆ
ตารางด้านล่างนี้จะช่วยอธิบายในแต่ละขั้นตอนการปลูกผม พร้อมกับชื่อเรียกนะครับ

จากตางนี้ชัดเจนมาก ๆ ครับ ว่าการปลูกผมแต่ละเทคนิคแตกต่างกันอย่างไร ดังนั้นหมอจะขออธิบายประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจนะครับ
- FUT และ FUE ข้อแตกต่างสำคัญหลักๆ คือการผ่าตัดและไม่ผ่าตัดนั่นเอง FUT ทำให้เกิดแผลเป็นเป็นเส้นยาว แต่ FUE ทำให้เกิดแผลเป็นเป็นจุดขาว ๆ เล็ก ๆ แต่หากใช้เครื่องเจาะคุณภาพดี ก็จะมองไม่ค่อยเห็นรอยแผลเป็นเลยครับ

- FUE และ Advanced FUE ข้อแตกต่างสำคัญของสองหัตถการนี้ คือการที่เราจะมีการตกแต่งกราฟต์ผมเพิ่มเข้าไป ฟังดูเหมือนเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ แต่หมออยากบอกว่าขั้นตอนเล็ก ๆ นี้นี่เอง ที่ทำให้ผมที่ปลูกแน่นขึ้นอีกเยอะมาก ๆ ครับ เพราะการที่มีเนื้อเยื่อหนังศีรษะติดมานั้น จะทำให้เราไม่สามารถปลูกชิดกันได้เท่าที่ควรครับ

- Advanced FUE กับ DHI ข้อแตกต่างหลัก ๆ อยู่ที่การปลูก โดยการใช้ Implanter จะทำให้ปลูกได้แน่นขึ้นไปอีก เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางของเข็มนั้นใหญ่กว่า 1 มิลิเมตร แต่เ Implanter อยู่ 0.64 มิลลิเมตรเท่านั้น นอกจากนี้ Implanter ยังควบคุมความลึก และทิศทางได้ดีกว่าอีกด้วย ในขณะที่การปลูกด้วย FUE จะใช้เข็มและ forceps ซึ่งทำให้แผลมีขนาดใหญ่กว่าและควบคุมทิศทางยากกว่า

- ก่อนที่จะไปสู่เรื่องของ Long Hair DHI หมออยากจะให้รู้จักอีกหนึ่งวิธีการก็คือ non-shaven เพราะ non-shaven มีความแตกต่างกับ Long Hair DHI เพราะ Long Hair DHI จะไม่มีการตัดผมด้านหลังของคนไข้เลย แต่ non-shaven จะยังคงมีการตัดผมด้านหลังที่ไม่ได้โกนผมด้านหลังออกทั้งหมด จะเป็นการโกนสั้นเป็นบางบริเวณ โดยที่จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผมที่ยังปล่อยยาวรอบ ๆ บริเวณที่โกนสั้นนั้น

Long Hair จะเหมือนกับ DHI เกือบทั้งหมด แต่จะใช้เครื่องมือเฉพาะ ทำให้สามารถเจาะดึงผมด้านหลังออกโดยที่เส้นผมไม่ขาด และปลูกได้ด้วยผมยาวทั้งเส้น โดยจะไม่มีการตัดผมด้านหลังของคนไข้เลยนะครับ ดังนั้นนี่คือการปลูกผมที่ปลูกตอนเช้า ตอนเย็นก็เป๊ะเลย

Advanced DHI วิธีการโดยรวมเหมือนกับ DHI แต่มีการเลือกเครื่องมือเฉพาะที่จะเหมาะสมกับตัวคนไข้แต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีสำหรับบุคคลนั้น หากสนใจ คลิก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกผม
ปลูกผมเจ็บไหม?
โดยปกติแล้ว จะไม่มีความเจ็บปวดระหว่างกระบวนการ เพราะมีการฉีดยาชา หรือวางยาสลบแล้วแต่เทคนิค หลังการผ่าตัด อาจมีอาการปวดหรือรู้สึกตึงบริเวณที่ทำในช่วง 1-3 วันแรก
ราคาเท่าไหร่
โดยคร่าวๆ สำหรับการปลูกผมทั้งศีรษะ ราคาอาจอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 200,000 บาท โดยประมาณเพราะราคาการปลูกผมมีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- เทคนิคที่ใช้
- จำนวนกราฟต์ผมที่ต้องการ
- ประสบการณ์ และชื่อเสียงของแพทย์
- คลินิก หรือโรงพยาบาลที่ให้บริการ
ใครบ้างไม่ควรปลูกผม
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการปลูกผม ได้แก่:
- ผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีภาวะผมร่วงที่ยังไม่คงที่หรือดำเนินอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นแผลเป็นคีลอยด์
- ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังรุนแรงบริเวณหนังศีรษะ
- ผู้ที่มีอายุน้อยเกินไป (อายุต่ำกว่า 20 ปี) เนื่องจากรูปแบบการสูญเสียผมยังไม่คงที่
อยู่ได้นานไหม
ผลลัพธ์ของการปลูกผมเป็นแบบถาวร เนื่องจากเส้นผมที่นำมาปลูกมาจากบริเวณที่มีความต้านทานต่อฮอร์โมน DHT (ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผมร่วงจากพันธุกรรม) อย่างไรก็ตาม มีข้อควรคำนึงดังนี้:
- เส้นผมที่ปลูกแล้วจะยังคงอยู่อย่างถาวร แต่เส้นผมเดิมที่อยู่รอบๆ อาจยังคงร่วงต่อไปได้
- จำเป็นต้องใช้ยาหรือการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อชะลอการสูญเสียเส้นผมเดิม
- การปลูกผมเพิ่มเติมอาจจำเป็นในอนาคตหากมีการสูญเสียเส้นผมเพิ่มขึ้น
- ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติและสวยงามหากเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
เอาหล่ะครับ สำหรับเทคนิคการปลูกผมถาวรแบบย้ายรากก็จะมีเท่านี้ ณ ปัจจุบันนะครับ ดังนั้นใครอยากเลือกแบบไหน ก็สามารถเข้ามาปรึกษาหมอได้เลยครับ เพราะแต่ละอาการก็จะมีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป และที่สำคัญที่สุด การปลูกผมควรมีการวางแผนให้ดี ควรปลูกให้จบใน 1-2 ครั้ง ดังนั้นอย่าลืมนะครับ “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”